แพว
แพว เหมาะสำหรับปลูกไว้กินในครัวเรือน
แพว หรือที่บางพื้นที่เรียกว่า ผักไผ่ เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่นิยมรับประทานสดในอาหารไทยและลาว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Persicaria odorata อยู่ในวงศ์ Polygonaceae ลักษณะเป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นกลม สีเขียวหรือม่วงแดง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบเรียวยาว ปลายแหลม ผิวใบเรียบและมักมีจุดสีดำกลางใบ
ผักแพว มีรสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมแรง จึงนิยมใช้เป็นเครื่องเคียงกับอาหาร เช่น ลาบ ก้อย ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หรือใส่ในน้ำพริกและแกงบางชนิด นอกจากช่วยเพิ่มรสชาติอาหารแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยา เช่น ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ และช่วยย่อยอาหารได้ดี ถือเป็นผักสมุนไพรพื้นบ้านที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ.
ลักษณะของผักแพว
- ลำต้น : เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นตั้งตรงหรือเอนเลื้อยไปตามพื้นดิน สูงประมาณ 30–60 เซนติเมตร ลำต้นมีข้อปล้องชัดเจน สีเขียวอมม่วง หรือเขียวเข้ม เมื่อสัมผัสจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และสามารถแตกกิ่งก้านได้มาก
- ใบ : ใบเดี่ยว เรียงสลับตามข้อ ลักษณะใบเรียวยาว ปลายแหลม โคนใบมน ผิวใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด และมักมีจุดหรือแถบสีเข้มอยู่กลางใบ ด้านล่างใบมีเส้นกลางใบเด่นชัด มีกลิ่นหอมแรงเมื่อขยี้
- ราก : เป็นรากฝอย เจริญออกตามข้อของลำต้น โดยเฉพาะเมื่อข้อสัมผัสดิน ทำให้ผักแพวสามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยการปักชำ
- ดอก : ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ลักษณะช่อดอกเรียวยาว มีดอกขนาดเล็ก สีขาวอมชมพูหรือม่วงอ่อน ดอกมีกลีบเล็ก 5 กลีบ
- เมล็ด : มีขนาดเล็ก รูปรี สีดำหรือน้ำตาลเข้ม ใช้ขยายพันธุ์ได้เช่นกัน แต่ไม่นิยมเท่าการปักชำ
จุดเด่นของผักแพว
- มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว — เป็นกลิ่นหอมฉุนแบบสดชื่น ช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นให้อาหาร เช่น ลาบ ก้อย หรือก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- มีสรรพคุณทางยา — ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ และช่วยย่อยอาหาร รวมถึงมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและลดการอักเสบ
- ปลูกง่าย โตเร็ว — ขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยการปักชำ เจริญเติบโตได้ดีในดินชื้นหรือใกล้น้ำ ดูแลไม่ยุ่งยาก
- ใช้ได้ทั้งอาหารและสมุนไพร — นอกจากใช้เป็นผักสดแนมอาหาร ยังนำมาใช้ในตำรับสมุนไพรพื้นบ้านได้หลายแบบ
- มีคุณค่าทางโภชนาการสูง — อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงร่างกายและผิวพรรณ

ประโยชน์ของผักแพว
- ช่วยขับลมและลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ – สารหอมในผักแพวมีฤทธิ์ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ลดแก๊สในกระเพาะอาหาร
- ช่วยย่อยอาหารและบำรุงธาตุในร่างกาย – นิยมกินคู่กับอาหารรสจัด เช่น ลาบ น้ำตก หรืออาหารที่มีไขมัน เพื่อช่วยย่อยและลดความเลี่ยน
- ต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ – สารสกัดจากผักแพวมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
- ช่วยขับเหงื่อและลดกลิ่นตัว – กลิ่นหอมของผักแพวช่วยกระตุ้นการขับเหงื่อและทำให้ร่างกายมีกลิ่นหอมธรรมชาติ
- บำรุงผิวพรรณและสุขภาพโดยรวม – มีวิตามินเอ วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
- ช่วยลดกลิ่นคาวของอาหาร – นิยมใช้กินคู่กับเนื้อสัตว์หรือปลาที่มีกลิ่นแรง เพราะช่วยดับกลิ่นคาวได้ดี
วิธีการปลูกผักแพว
- การเตรียมพันธุ์
- นิยมใช้ วิธีปักชำกิ่ง มากกว่าการเพาะเมล็ด เพราะรากงอกเร็วและโตดี
- เลือกกิ่งแก่ปานกลาง ยาวประมาณ 15–20 เซนติเมตร ตัดใบล่างออก เหลือใบช่วงปลายไว้ 3–4 ใบ
- การเตรียมดิน
- ใช้ดินร่วนหรือดินเหนียวที่มีความชื้นสูง
- ผสมดินกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
- หากปลูกในกระถาง ให้ใช้ดินร่วน 2 ส่วน + ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
- วิธีปลูก
- ปักชำกิ่งในดินลึกประมาณ 5–10 เซนติเมตร
- รดน้ำให้ชุ่มและวางในที่ร่มรำไร 3–5 วันแรก เพื่อให้รากงอก
- เมื่อเริ่มแตกยอดใหม่แล้วค่อยย้ายออกแดดบางส่วน
- การดูแลรักษา
- รดน้ำวันละ 1–2 ครั้ง ให้ดินชุ่มอยู่เสมอ
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเร่งการแตกยอด
- ตัดแต่งยอดเรื่อย ๆ เพื่อให้แตกกิ่งใหม่มากขึ้น
- การเก็บเกี่ยว
- เริ่มเก็บใบหรือยอดได้เมื่ออายุประมาณ 30–45 วัน หลังปลูก
- ตัดยอดยาวประมาณ 10–15 เซนติเมตร แล้วปล่อยให้แตกใหม่ เก็บได้ต่อเนื่องตลอดปี
ผักแพว ปลูกง่าย โตไว ชอบน้ำและแดดรำไร เหมาะกับปลูกในสวนครัวหรือข้างบ้านเพื่อใช้เป็นผักสดและสมุนไพรในชีวิตประจำวัน




