เปปเปอร์มินต์

เปปเปอร์มินต์ พืชที่ให้ผลผลิตน้ำมันหอมระเหยที่มีมูลค่าทางการค้า
เปปเปอร์มินต์ (Peppermint) 🌿 เป็น พืชสมุนไพรและพืชเศรษฐกิจสำคัญ ที่นิยมปลูกเพื่อใช้ใน อุตสาหกรรมน้ำหอม อาหาร ยา และเครื่องสำอาง เนื่องจากมีน้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นหอมเย็น สดชื่น และมีสรรพคุณทางยา
ลักษณะของเปปเปอร์มินต์
- ลำต้น : ล้มลุก สูงประมาณ 30–90 เซนติเมตร ลำต้นมีเหลี่ยม สีม่วงแดง แตกกิ่งก้านมาก
- ใบ : ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปร่างรีถึงรูปหอก ปลายแหลม ขอบหยักฟันเลื่อย สีเขียวเข้ม มีกลิ่นหอมเย็นเมื่อขยี้
- ดอก : ออกเป็นช่อที่ปลายยอด สีม่วงอ่อนหรือชมพูอ่อน ขนาดเล็ก
- ราก : เป็นรากฝอยและมี ไหล (stolon) เลื้อยไปตามดิน สามารถแตกต้นใหม่ได้ง่าย
จุดเด่นทางเศรษฐกิจ
- เป็นพืชที่มีมูลค่าทางการค้า : น้ำมันหอมระเหยจากใบใช้ผลิต ลูกอม ยาสีฟัน เครื่องสำอาง ยา และอาหาร
- ตลาดส่งออกใหญ่ : นิยมมากในยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
- ปลูกได้ในประเทศไทย : โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อากาศเย็นและดินร่วนซุย
- ปลูกง่าย ขยายพันธุ์เร็ว : เหมาะกับการปลูกเชิงเศรษฐกิจขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่

ประโยชน์ของเปปเปอร์มินต์
- ใช้ สกัดน้ำมันหอมระเหย (Peppermint oil) สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ยา และเครื่องสำอาง
- ช่วย บรรเทาอาการปวดหัว คลื่นไส้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ใช้แต่งกลิ่นใน ช็อกโกแลต ลูกอม ชา ยาสีฟัน และน้ำหอม
- ใช้ใน อโรมาเธอราพี (Aromatherapy) เพื่อผ่อนคลายและให้ความสดชื่น
การปลูกและดูแล
- ดิน : ดินร่วนซุย ระบายน้ำดี
- แสง : ต้องการแสงแดดครึ่งวันถึงเต็มวัน
- น้ำ : รดน้ำสม่ำเสมอ ไม่ให้แฉะเกินไป
- การขยายพันธุ์ : ใช้ไหลหรือปักชำกิ่ง
- เก็บเกี่ยว : เก็บใบเมื่ออายุ 2–3 เดือนหลังปลูก ใช้กลั่นน้ำมันหอมระเหยหรือจำหน่ายเป็นใบสด/ใบแห้ง
ต้นเปปเปอร์มินต์ เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตดี เพราะมีตลาดรองรับทั้งในและต่างประเทศ ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องการปลูกพืชสมุนไพรเชิงพาณิชย์