กระชายขาว
กระชายขาว เนื้อในสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมอ่อน
กระชายขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Boesenbergia rotunda) เป็นพืชสมุนไพรในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) ที่เรารู้จักกันดีในครัวไทย โดยเฉพาะในอาหารภาคกลางและภาคใต้ เช่น “แกงเผ็ด”, “ผัดเผ็ด”, “น้ำยากะทิ” หรือ “ต้มยำ”
ลักษณะทั่วไป
- ลำต้นใต้ดิน (เหง้า) : คล้ายขิงหรือข่า แต่มีขนาดเล็กกว่า สีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
- ใบ : แผ่กว้าง สีเขียวสด มีก้านใบยาว
- ดอก : สีขาวอมชมพู ออกจากโคนต้น
- ราก : เรียวยาว สีขาวอมเหลือง (ส่วนที่เรานิยมกินและใช้ทำยา)
จุดเด่นของกระชายขาว
- ✅ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว — ช่วยดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอมในอาหาร
- 💪 มีสรรพคุณทางยา — ช่วยขับลม แก้ท้องอืด บำรุงกำลัง และเสริมภูมิคุ้มกัน
- 🧪 มีสารสำคัญทางชีวภาพ — เช่น Panduratin A และ Pinostrobin ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และอนุมูลอิสระ
- 🍽️ ใช้ได้ทั้งเป็นอาหารและสมุนไพร — นิยมใส่ในอาหารไทยและใช้ทำยาพื้นบ้าน
- 🌱 ปลูกง่าย โตเร็ว — เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย

การใช้ประโยชน์
- ใช้เป็นอาหาร
- ใส่ในอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอมเผ็ดร้อน
- เป็นเครื่องเทศในอาหารไทยหลายชนิด
- ใช้เป็นสมุนไพร
- ช่วยขับลม บำรุงกำลัง
- ช่วยเจริญอาหาร
- มีงานวิจัยบางส่วนระบุว่ามีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และอาจช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
การปลูกกระชายขาว
- 🌱 พันธุ์ปลูก : ใช้เหง้ากระชายขาวแก่จัด ตัดเป็นท่อน ๆ ยาว 5–7 ซม.
- 🪴 ดินปลูก : ดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี ผสมปุ๋ยคอกและแกลบดำ
- 🌤️ วิธีปลูก
- ปลูกในฤดูฝน (พ.ค.–ก.ค.)
- ขุดหลุมลึกประมาณ 5–7 ซม.
- วางเหง้ามีตาขึ้น กลบดินบาง ๆ
- ระยะปลูก 20×25 ซม.
- 💧 การดูแล
- รดน้ำวันละ 1 ครั้ง
- ใส่ปุ๋ยคอกทุก 1–2 เดือน
- กำจัดวัชพืชและระบายน้ำดี ป้องกันเหง้าเน่า
- ⏳ เก็บเกี่ยว
- ใช้เวลาปลูก 8–10 เดือน
- เก็บเมื่อใบเริ่มเหลือง เหง้าแก่เต็มที่
โดยรวม กระชายขาวโดดเด่นในด้าน “สมุนไพรบำรุงสุขภาพ กลิ่นหอมเฉพาะตัว และคุณค่าทางยา” ที่ทั้งกินอร่อยและดีต่อร่างกาย




